ถือเป็นเรื่องปกติที่มีอาการปวดหรือเสียวฟันหลังการอุดฟัน เพราะมีการกรอฟันจากทันตแพทย์ โดยมาก อาการดังกล่าวจะหายไปภายใน 1 หรือ 2 วัน แล้วอาการปวดฟันหลังอุดฟันเกิดจากอะไร มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเล็กน้อยหรือเสียวฟันหลังจากทันตแพทย์อุดฟันให้
สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยสำหรับอาการปวดฟันหลังอุดคือ วัสดุอุดฟันไม่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและกีดขวางการเคี้ยวของคุณ วัสดุอุดที่สูงเกินไปจะทำให้การสบฟันผิดปกติ ฟันสบกันไม่พอดีเวลาคุณกัด ทันตแพทย์ช่วยปรับความสูงของวัสดุอุดเพื่อแก้ไขปัญหาได้
ประเภทการอุดที่ทันตแพทย์ใช้ก่อให้เกิดอาการเสียวหรือรู้สึกไม่สบายได้เช่นกัน เช่น เมื่ออุดฟันด้วยวัสดุ เรซินคอมโพสิต มักจะมีอาการเสียวฟัน ซึ่งเป็นผลจากการหดตัวเล็กน้อยของวัสดุ ทำให้เกิดช่องว่างใต้วัสดุขึ้น วิธีลดอาการเสียวฟันจากวัสดุคอมโพสิตมีหลายวิธี ตั้งแต่การเปลี่ยนชนิดวัสดุไปจนถึงการเปลี่ยนวิธีอุด
อาการเสียวฟันจากไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อวัสดุอุดที่อยู่ติดกันมีส่วนประกอบของโลหะต่างชนิดกัน (เช่น ซี่หนึ่งเป็นทองและอีกซี่เป็นอะมัลกัม) เมื่อสัมผัสกันทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้นับว่าเกิดขึ้นน้อยมาก
หากอาการปวดของคุณเกิดจากเส้นประสาทอักเสบหรือฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน ทางแก้ไขคือ การรักษารากฟันหรือถอนฟัน แล้วทดแทนตำแหน่งนั้นด้วยรากเทียมหรือสะพานฟัน
นอกจากนี้ การเสียวฟันยังเกิดได้จากวัสดุอุดฟันใหม่ที่อาจถูกกระตุ้นด้วยอาหาร เครื่องดื่มร้อน เย็น หรือมีรสหวาน รวมถึงอากาศและแรงกดจากการเคี้ยว อาการเสียวฟันนี้ควรบรรเทาลงภายใน 1 หรือ 2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้น ให้กลับไปพบทันตแพทย์ของคุณ คุณอาจถูกส่งต่อไปหา ทันตแพทย์รักษารากฟัน หรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวินิจฉัยสาเหตุอาการปวดฟัน ทันตแพทย์รักษารากฟันวิเคราะห์ได้ว่าฟันผุของคุณลึกกว่าที่คิดและผุลงไปในโพรงประสาทฟันหรือไม่ หากใช่ ทันตแพทย์จะ รักษารากฟันให้
เป้าหมายของการอุดฟันคือ ปิดฟันที่ผุหรือเป็นรูเพื่อลดอาการเจ็บ แต่หากเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์หลังจากที่อุดฟันและคุณยังมีอาการปวดเวลากัดฟัน รับประทานอาหาร หรือเพียงแต่อ้าปากล่ะก็ วิธีดีที่สุดคือ กลับไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันตแพทย์จะสามารถระบุสาเหตุและแก้ไขให้ได้
หากไม่อยากอุดฟันตั้งแต่แรก ก็ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีเป็นประจำ
การดูแลป้องกันเป็นวิธีการดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องอุดฟัน ควรพบทันตแพทย์เพื่อรักษา
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ในเรื่องสุขภาพช่องปากทั่วไป ไม่ได้ใช้เพื่อแทนคำแนะนำ การวินิจฉัย หรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับอาการหรือการรักษาทางการแพทย์ โปรดขอคำแนะนำจากทันตแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
